Wednesday, April 8, 2009

หนุ่ม กรรชัย” ฟ้องแบ่งสมบัติ 100 ล้าน

หนุ่ม กรรชัย” ฟ้องแบ่งสมบัติ 100 ล้าน และพี่ชายต่างมารดา หลังไม่ยอมแบ่งสมบัติ 100 ล้าน ของ “พ่อ” ที่เสียชีวิตไปแล้ว เจ้าตัวสุดเครียดจนล้มป่วย เผยที่ผ่านมาคู่กรณีเล่นบทขอมดำดิน แถมยังดอดไปโอนทรัพย์สินบางส่วนให้กับทายาทคนอื่น สุดทนจำพึ่งบารมีศาล นอกจากคลอเรสเตอรอลจะขึ้นสูง ป่วยเป็นโรคความดัน ส่งผลให้ไตทำงานผิดปกติตัวบวมน้ำหนักพุ่งสูงขึ้นถึง 20 กิโล จนหมอต้องสั่งลดน้ำหนักและงดอาหารที่เป็นแป้งและไขมันทุกชนิดแล้ว ล่าสุด “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ก็ยังซวยซ้ำซากยื่นฟ้องแม่เลี้ยง “นางวิมลรัตน์ กำเนิดพลอย” และ “นายอัคระ กำเนิดพลอย” พี่ชายต่างมารดาเป็นจำเลยต่อศาลแพ่งธนบุรี ขอให้ศาลมีคำสั่งเปลี่ยนผู้จัดการมรดกและจัดแบ่งมรดกของ บิดา “นายประกอบ กำเนิดพลอย” หลังจากที่คู่กรณีไม่ยอมแบ่งมรดก ซ้ำยังโอนทรัพย์สินบางอย่างไปเป็นของทายาทคนอื่นและบุคคลอื่น รวมมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดร่วม 100 ล้าน ล่าสุดหนุ่ม กรรชัยก็ได้ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องดังกล่าวว่า จำเป็นต้องฟ้องร้องเพื่อทวงถามความยุติธรรม และยอมรับว่าเครียดจัดจนเป็นสาเหตุของการป่วย “อย่างที่มีข่าวออกไปว่า เมื่อ 4 ปีที่แล้วคุณพ่อได้เสียชีวิตไป และทางตัวผมและพี่ๆ น้องๆ ก็ได้มีทางลงชื่อให้คุณแม่เลี้ยงมาเป็นผู้จัดการมรดก หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านไป 3 ปีตัวผมก็ยังไม่เห็นบัญชีรายชื่อทรัพย์มรดกคุณพ่อว่ามีอะไรบ้าง ก็เลยมีการให้คนไปทวงถามก็ยังไม่ได้รับคำตอบ ไม่ได้รับการติดต่อกลับมา สุดท้ายก็เลยให้ทนายช่วยเชคดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น ก็เลยรู้มาว่ามีการโอนย้ายที่ดินบางแปลงไปใส่ชื่อของทายาทบางคน โดยตามกฎหมายแล้วมันต้องมีการแบ่งทุกอย่างให้เท่าเทียมกัน และต้องมีการส่งศาลให้รับรู้แต่ก็ไม่มีการส่งถึงศาล ให้ผู้ใหญ่ไปทวงถามอีกครั้งก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมาก็เลยต้องพึ่งบารมีศาล” “ตอนนี้คดีความของทรัพย์สินมรดกจะขาด 5 ปีแล้วนี่ผ่านมา 4 ปีกว่าแล้วถ้าเกิดปล่อยต่อไปกลัวว่าจะลำบากก็เลยคิดว่าขึ้นศาลดีกว่า แต่สิ่งที่ผมทำไปผมต้องขอบอกก่อนว่า ผมไม่ได้มีเจตนาที่อยากจะฟ้อง คือทั้งหมดมันเป็นเรื่องของความเป็นธรรม ผมไม่รู้หรอกว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ผมไม่รู่ว่าจะแพ้หรือชนะหรือจะอะไรก็ตามแต่ก็ต่อสู้กันต่อไป” “4 ปีที่ผ่านมาผมไม่เคยพูดไม่เคยเรียกร้องอะไรต่อฝ่ายนั้นเลย ไม่มีพูดออกทางสื่อ แต่มีพี่สื่อหลายๆ คนก็มีถามเหมือนกันประเด็นนี้ ผมก็บอกว่ามันเป็นเรื่องภายในครอบครัวถ้าหลุดออกมาเกรงว่าจะไม่ดี ผมขออนุญาติที่จะไม่พูดดีกว่า ผมพยายามที่จะเลี่ยงอย่างนี้ตลอด หรือแม้กระทั่งมีคนมาถามผมว่าสุขภาพร่างกายตอนนี้เป็นไง ที่เครียดคิดมากเกิดจากสาเหตุนี้หรือเปล่า ผมก็บอกว่า เรื่องอื่นๆ ในชีวิตผมไม่ใช่เรื่องใหญ่มันมีเรื่องใหญ่กว่าสำคัญกว่านั้น ที่จริงที่ผมเครียดก็คือเรื่องนี้แหละครับ เพียงแต่ผมไม่ได้พูด” สำหรับทรัพย์สินมรดกที่ “หนุ่ม กรรชัย” ยื่นฟ้องแม่เลี้ยงและพี่ชายไปนั้นมีมูลค่านับ 100 ล้านบาทเลยทีเดียว “ทรัพย์สินประมาณ 100 ล้านมีที่ดินที่ชุมพร กรุงเทพ จริงๆ มันมีเยอะอย่างที่ควรต้องมี อย่างรถยนต์ เงินสดในธนาคาร คือถ้าพูดไปอันนี้จะสำคัญ คือคุณพ่อผมเป็นนักเล่นพระสะสมพระที่คนในวงการรู้จักดี และก็รู้ว่าพ่อผมมีพระอะไรที่เก็บสะสมไว้บ้าง และยังมีพระที่นำออกไปโชว์กับหนังสือต่างๆ แต่มาวันนี้พระต่างๆ วัตถุมงคลต่างๆ ได้ไปโผ่ลในมือคนอื่น ซึ่งผมเองก็เคยเห็นมากับตา เพราะฉะนั้นทุกอย่างมันเป็นทรัพย์กลางที่ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะต้องถูกแบ่งปันให้ชัดเจน แต่มาถึงตรงนี้แล้วมันหายไปโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ เพราะฉะนั้นมันก็คงต้องมีการดำเนินการกันต่อไปว่ามันเป็นแบบนี้ได้ยังไง ก็แค่นั้นเองแหละครับ” เผยยินดีจะประนีประนอมแต่ไม่รู้ว่าฝ่ายคู่กรณีจะยินดีหรือไม่ “เราไม่ได้คุยกันมานานประมาณ 3 ปีแล้ว ก่อนหน้านั้นก็ยังคุยกันปกติไม่มีอะไร ผมเองก็ไว้ใจและไม่คิดว่ามันจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น แต่พอมันมีแล้วก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ก็อย่างที่บอกพอไม่รู้จะทำยังไงก็ต้องมีการต่อสู้กันในชั้นศาล” “เรื่องประนีประนอมผมยินดี ผมไม่อยากให้ต่อสู้กันแบบเอาเป็นเอาตาย การประนีประนอมคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว น่าจะมีการไกล่เกลี่ยกันออกมชอมกัน แต่ผมก็ไม่ทราบว่าทางนั้นจะคิดยังไง แต่ทางผมเองที่ผมฟ้องเพราะผมทวงถามไปก็ไม่ได้รับคำตอบมาเลย เพราะฉะนั้นมันก็เลยต้องไปกันในทางนี้เพื่อที่จะได้มีการพูดคุยและตอบรับกันไปมาได้” “ตอนนี้ทางศาลท่านก็ได้มีการพิจารณาอายัดทรัพย์สินเอาไว้ และวันที่ 20เมษายนนี้จะเป็นการขึ้นศาลนัดแรกซึ่งผมต้องไป ก็ต้องต่อสู้ไป หลายคนอาจจะมองว่าการฟ้องต้องมีเงินหรือเปล่า ผมก็อยากจะบอกว่า ผมเองก็ทำงานอยู่ตรงนี้ในวงการบันเทิง และสุดท้ายก็อาจจะมีอาชีพอื่นๆ ที่อาจจะมารองรับ อย่างตอนนี้ผมก็เปิดไอซ์มอนเตอร์อยู่ แต่ต่อไปในอนาคตผมอาจจะต้องป่วยใช้เงินมากๆ ในการรักษาตัว คือบางครั้งผมคิดว่า ทรัพย์มรดกของคุณพ่อที่มีทำเอาไว้ให้ผม ผมว่าน่าจะเอามาช่วยต่อชีวิตผมได้ในบั้นปลายชีวิต” “ผมอยากให้เรียนนี้จบอย่างเป็นธรรม ส่วนความรู้สึกผมบอกตรงๆ ว่า ผมเสียความรู้สึกมากกว่าอีกฝ่ายแน่ และผมตัวคนเดียว ผมอยู่คนเดียวจริงๆ ไม่ได้มีใคร เพราะฉะนั้นเวลาผมจะปรึกษาใครผมไม่มีที่ปรึกษาไม่มีคุณแม่คอยให้คำปรึกษาแล้ว แต่อีกฝ่ายหนึ่งยังมีแต่ของผมไม่ใช่อย่างนั้น”

No comments:

Post a Comment

อ่านหน้าต่อไปคลิก Older Posts